โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคเรื้อรังที่มีกลไกเกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน ต้านทานโรคของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะของตัวเอง โดยลักษณะของโรคนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ทำลายเนื้อเยื่อข้อต่างๆทำให้เกิดการอักเสบโดยเฉพาะข้อมือและข้อนิ้วมือ โรคข้อรูมาตอยด์พบได้ทั่วโลก ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกในแต่ละปีมีอุบัติการณ์ประมาณ 3 รายต่อประชากร 10,000 คน ซึ่งความชุกของโรคอยู่ที่ประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ หญิงเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 3 เท่า ช่วงอายุที่เริ่มเป็นส่วนใหญ่ คือ 35 - 50 ปี
พยาธิสภาพที่ปรากฏคือ ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินผิดปกติโดยเฉพาะที่ข้อต่างๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น และหลั่งสารเคมีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ซึ่งเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง และส่งผลทำให้เนื้อเยื่อปกติถูกทำลายในที่สุด
![](http://www.maxlifenetwork.com/images/rheumatoid_arthritis.jpg)
โดยทั่วไป เมื่อเริ่มเป็นโรคข้อรูมาตอยด์อาการมักไม่ค่อยชัดเจน ให้การวินิจฉัยโรคได้ยาก เวลาโดยเฉลี่ยนับตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคจนกระทั่งวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคข้อรูมาตอยด์อยู่ที่ประมาณ 9 เดือน
การวินิจฉัยจะอาศัยอาการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยอาจใช้กฎเกณฑ์สำหรับการวินิจฉัยโรคไว้ดังนี้ โดยให้ถือว่า “ผู้ป่วยที่มีอาการอย่างน้อย 4 ใน 7 ข้อเหล่านี้ เป็นโรคข้อรูมาตอยด์”
- มีอาการข้อแข็งในตอนเช้า ขยับไม่ได้ตามปกติ ซึ่งต้องมีอาการนานมากกว่า 1 ชั่ว โมงก่อนที่อาการจะหายไป
- มีอาการปวดข้อมากกว่า 3 ข้อขึ้นไปโดยมีอาการบวมของข้อร่วมด้วย
- ข้อที่อักเสบนั้นจะต้องมีข้อของมือรวมอยู่ด้วย โดยอาจจะเป็น ข้อมือ ข้อฝ่ามือ หรือข้อนิ้วมือก็ได้
- ข้อที่อักเสบเหล่านั้นจะต้องเป็นทั้งข้างซ้ายและข้างขวาเหมือนกันและเป็นพร้อมๆ กัน
- ตรวจพบมีปุ่มเนื้อ Rheumatoid nodules
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบสารภูมิต้านทานRheumatoid factor ในเลือด การตรวจพบสารภูมิต้านทานRheumatoid factor เพียงอย่างเดียว ไม่ได้จำเพาะกับโรคนี้ เพราะสามารถตรวจพบได้ในคนทั่วไปประมาณ 5% และยิ่งมีอายุมาก โอกาสที่จะตรวจพบอาจมีถึง 20% จึงต้องอาศัยเกณฑ์ข้ออื่นร่วมด้วย
- การตรวจเอ๊กซเรย์กระดูกพบความผิดปกติของกระดูกรอบข้อ เช่น กระดูกรอบข้อบางตัวลง