ชัดเจนมาก! ความเกี่ยวดองอันน่าประหลาดใจและผลการทดลองอันน่าทึ่งเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้

         





          ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา และแพทย์ภูมิคุ้มกันวิทยาพยายามกันอย่างหนักที่จะเข้าใจมัน ปรากฎการณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ มีพื้นที่ในโลกที่มีคนป่วยเป็นโรคพวกนี้มากขึ้น ในขณะบางพื้นที่มีจำนวนน้อย และตัวเลขดังกล่าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้อมูลสถิติได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างโรคทั้งสองกับการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่แล้วมันไปเกี่ยวข้องได้อย่างไรกันล่ะ

การทดลองอันแปลกประหลาด
          ในปี 2002 ด๊อกเตอร์ไมริ โนเวอร์ หนึ่งในนักวิจัยประจำห้องทดลอง ที่ศูนย์การแพทย์มิชิแกนทำการวิจัยเกี่ยวกับยีสต์ แคนดิด้า อัลบิคันส์ ซึ่งมีการค้นพบก่อนหน้านี้โดยนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยว่า ยีสต์ตัวนี้สามารถหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการสื่อสารกับระบบภูมิคุ้กันของเราได้  ตามปกติยีสต์พวกนี้จะมีจำนวนน้อยในร่างกายมนุษย์ แต่เนื่องจากทนทานต่อยาปฏิชีวนะได้ จึงทำให้มันสามารถเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในขณะที่จุลินทรีย์พวกอื่นถูกทำลายไปด้วยยาปฏิชีวนะที่รับประทานเข้าไปเพื่อบำบัดโรค 
          ข้อมูลทางสถิติแสดงความเกี่ยวข้องระหว่างการได้รับยาปฏิชีวนะกับการเกิดโรคหอบหืดภูมิแพ้นั้น กระตุ้นให้ด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิล(ผู้วิจัยเจ้าของหนังสือProbiotics Revolution) เกิดความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะ พวกหนูควรจะมีจำนวนยีสต์เพิ่มมากขึ้น และยีสต์นั้นก็ควรจะหลั่งสารเคมีออกมามากขึ้นด้วย ในขณะที่จำนวนของ โปรไบโอติก(คลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม)น่าจะต้องลดลง สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างยาปฏิชีวนะและโรคภูมิแพ้
          นักวิจัยจำนวนมากหาทางทำให้หนูเกิดอาการแพ้ในระบบทางเดินหายใจได้แล้ว แต่วิธีเหล่านี้ต้องปรับยีนหรือฉีดสารเข้าไปในร่างกายของหนูเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการ ยังไม่มีมีใครสามารถทำให้หนูเกิดอาการภูมิแพ้อย่างที่มนุษย์เป็นได้ กล่าวคือ แบบที่เกิดอาการเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งแล้วหายใจเอาสารหรือสิ่งที่แพ้เข้าไป 
          ผู้ร่วมงานของด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิลบางคนรวมถึง ดร.ไมริ โนเวอร์ ต่างก็เชื่อว่าหนูมีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ที่ช่วยไม่ให้เกิดอาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ จึงได้ออกแบบการทดลองโดยแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม
          กลุ่มที่ 1 ได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปเพื่อหวังจะทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ของหนูหรืออย่างน้อยก็ทำให้จุลินทรีย์พวกนั้นมีจำนวนลดลง
          กลุ่มที่ 2 ไม่ได้รับยา
หลังจากหนูกลุ่มแรกได้รับยาเป็นเวลาครบ 5 วัน หนูทั้งหมดก็ถูกนำไปไว้ในที่ซึ่งมีสิ่งก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้หนูหายใจเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปเป็นเวลา 2 สัปดาห์
          ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะพวกหนูที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะไม่มีอาการใด ในขณะที่หนูซึ่งได้รับยาปฏิชีวนะกลับแสดงอาการของภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ การทดลองของเรายืนยันว่าจุลชีพในลำไส้มีผลกระทบต่อกากรตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หลังจากมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้ว การค้นพบที่น่าตื่นเต้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร “การติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน” (Infection and Immunity) ซึ่งเป็นวารสารเฉพาะทางด้านการวิจัยโรคติดเชื้อของสมาคมจุลชีววิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา(American Society for Microbiology)

ความสัมพันธ์ของโปรไบโอติก
         หลักการด้านภูมิคุ้มกันในปัจจุบันได้เปิดทางให้กับการปฏิวัติของโปรไบโอติก การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเปรียบได้กับการทำงานของคันเร่งและเบรกในรถยนต์ เมื่อกดคันเร่ง ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองทำให้เกิดการบวมอักเสบเพื่อกันและทำลายเป้าหมาย และอาการนี้จะเกิดต่อๆไปจนกระทั่งมีการเหยียบเบรกเพื่อยุติ มิฉะนั้นแล้วปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันจะดำเนินต่อไปจนก่อความเสียหายเจ็บป่วยเป็นโรคแทนที่จะป้องกันมัน
         เป็นที่รู้แน่ชัดจากการทดลองของเราแล้วว่า การทำลายโปรไบโอติกในลำไส้จะไปกระตุ้นคันเร่งของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การมีมันอยู่ก็เท่ากับการติดเบรกให้กับระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานว่องไวเกินจำเป็น

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/ProbioticByProLife/
หรือสั่งซื้อสินค้าโดยตรงได้ที่
Line ID; @ovp0980m